วิธีปลูก
ก่อนที่จะย้ายต้นยางที่จะใช้ปลูกไปยังสวน จะต้องปรากฏว่า
(๑) มีฝนตกชุกและดินชุ่มชื้นมากพอสมควรเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้าปลูกในระยะที่ฝนยังไม่ชุกมากจริง ๆ และดินยังไม่ชุ่มชื้นพอ จะทำให้รากไม่เจริญและชะงักงันไปชั่วคราว กว่าจะตั้งตัวใหม่ได้อาจต้องกินเวลาหลายวัน หรือถ้าแล้งมาก ต้นอาจตายก็ได้
(๒) มีแรงงานที่จะช่วยกันปลูกไว้พร้อมเพรียง ถ้าปลูกเสร็จในวันเดียวกันกับที่ได้รับต้นยางมาจะดีมาก หากปลูกไม่ทันในวันนั้น จำเป็นจะต้องเลื่อนไปในวันรุ่งขึ้น ต้องรดน้ำที่ลำต้นและรากให้ชุ่มชื้น ถ้าเอาไปเก็บไว้ในที่ที่ให้ปลายรากแช่น้ำเล็กน้อยได้ยิ่งดี
ในการนำต้นยางลงปลูก ถ้าเป็นหลุมที่กลบดินเตรียมไว้แล้ว ให้ใช้ไม้แทงลงไปตรงกลางหลุมหรือใช้เสียมขุดเป็นหลุมตรงลงไป ควรใช้ไม้วัดรากแก้วตั้งแต่โคนต้นลงไปจนถึงปลายรากว่ายาวเท่าใด แล้วจึงแทงหรือขุดเป็นหลุมลึกลงไปเท่าที่วัดได้ เมื่อสอดต้นลงไปแล้ว ปลายรากจะจดถึงก้นหลุมที่แทงหรือขุดไว้พอดี และโคนต้นจะอยู่ที่ระดับพื้นดินเดิม แล้วย่ำรอบ ๆ ดินจะได้แน่น ไม่มีโพรงอากาศที่น้ำจะอาศัยค้างอยู่ได้ เป็นการป้องกันมิให้ดินโคลนต้นยุบลงเป็นแอ่งขังน้ำ ซึ่งจะทำให้ต้นยางแช่น้ำตายได้ การปลูกต้องระวังอย่าให้รากแก้วและรากแขนงงอบิดเบี้ยว
การติดตาต้นกล้าในสวน เจ้าของสวนยางบางคนเห็นว่า การติดตาในสวนหรือในไร่สะดวกกว่า เพราะ ไม่ต้องถอนย้ายต้นไปปลูกใหม่ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็อ้างว่า การติดตาในสวนมักติดไม่สำเร็จพร้อมกันทั้งหมด ติดบ้างไม่ติดบ้าง ต้องเสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลสวนเพิ่มขึ้นอีกด้วย แต่เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับความขยันขันแข็งของเจ้าของสวนยางแต่ละคน การติดตาในสวนทุ่นค่าใช้จ่ายได้มากกว่าการซื้อต้นติดตามาปลูก
การติดตาในสวนที่หลุมปลูกนั้น จะต้องติดตากับต้นกล้าที่ปลูกไว้แล้ว ต้นตอหรือต้นกล้าที่กล่าวนี้อาจจะเกิดขึ้นได้ ๒ วิธี
วิธีที่ ๑ เอาต้นกล้าขนาดเล็กพันธุ์ธรรมดามาปลูกไว้ก่อน
วิธีที่ ๒ เอาเมล็ดมาเพาะให้เป็นต้นกล้าในหลุมปลูก หรือเพาะเมล็ดเสียก่อน แล้วย้ายเมล็ดงอกเอาไปปลูกที่หลุมปลูก
เมื่อต้นกล้าอายุ ๓-๔ เดือนขึ้นไป คือ ลำต้นเริ่มมีสีน้ำตาลบ้างแล้ว ก็ใช้เป็นต้นตอสำหรับติดตาได้
พันธุ์ยางที่ควรใช้ปลูก
(๑) มีฝนตกชุกและดินชุ่มชื้นมากพอสมควรเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้าปลูกในระยะที่ฝนยังไม่ชุกมากจริง ๆ และดินยังไม่ชุ่มชื้นพอ จะทำให้รากไม่เจริญและชะงักงันไปชั่วคราว กว่าจะตั้งตัวใหม่ได้อาจต้องกินเวลาหลายวัน หรือถ้าแล้งมาก ต้นอาจตายก็ได้
(๒) มีแรงงานที่จะช่วยกันปลูกไว้พร้อมเพรียง ถ้าปลูกเสร็จในวันเดียวกันกับที่ได้รับต้นยางมาจะดีมาก หากปลูกไม่ทันในวันนั้น จำเป็นจะต้องเลื่อนไปในวันรุ่งขึ้น ต้องรดน้ำที่ลำต้นและรากให้ชุ่มชื้น ถ้าเอาไปเก็บไว้ในที่ที่ให้ปลายรากแช่น้ำเล็กน้อยได้ยิ่งดี
ในการนำต้นยางลงปลูก ถ้าเป็นหลุมที่กลบดินเตรียมไว้แล้ว ให้ใช้ไม้แทงลงไปตรงกลางหลุมหรือใช้เสียมขุดเป็นหลุมตรงลงไป ควรใช้ไม้วัดรากแก้วตั้งแต่โคนต้นลงไปจนถึงปลายรากว่ายาวเท่าใด แล้วจึงแทงหรือขุดเป็นหลุมลึกลงไปเท่าที่วัดได้ เมื่อสอดต้นลงไปแล้ว ปลายรากจะจดถึงก้นหลุมที่แทงหรือขุดไว้พอดี และโคนต้นจะอยู่ที่ระดับพื้นดินเดิม แล้วย่ำรอบ ๆ ดินจะได้แน่น ไม่มีโพรงอากาศที่น้ำจะอาศัยค้างอยู่ได้ เป็นการป้องกันมิให้ดินโคลนต้นยุบลงเป็นแอ่งขังน้ำ ซึ่งจะทำให้ต้นยางแช่น้ำตายได้ การปลูกต้องระวังอย่าให้รากแก้วและรากแขนงงอบิดเบี้ยว
การติดตาต้นกล้าในสวน เจ้าของสวนยางบางคนเห็นว่า การติดตาในสวนหรือในไร่สะดวกกว่า เพราะ ไม่ต้องถอนย้ายต้นไปปลูกใหม่ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็อ้างว่า การติดตาในสวนมักติดไม่สำเร็จพร้อมกันทั้งหมด ติดบ้างไม่ติดบ้าง ต้องเสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลสวนเพิ่มขึ้นอีกด้วย แต่เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับความขยันขันแข็งของเจ้าของสวนยางแต่ละคน การติดตาในสวนทุ่นค่าใช้จ่ายได้มากกว่าการซื้อต้นติดตามาปลูก
การติดตาในสวนที่หลุมปลูกนั้น จะต้องติดตากับต้นกล้าที่ปลูกไว้แล้ว ต้นตอหรือต้นกล้าที่กล่าวนี้อาจจะเกิดขึ้นได้ ๒ วิธี
วิธีที่ ๑ เอาต้นกล้าขนาดเล็กพันธุ์ธรรมดามาปลูกไว้ก่อน
วิธีที่ ๒ เอาเมล็ดมาเพาะให้เป็นต้นกล้าในหลุมปลูก หรือเพาะเมล็ดเสียก่อน แล้วย้ายเมล็ดงอกเอาไปปลูกที่หลุมปลูก
เมื่อต้นกล้าอายุ ๓-๔ เดือนขึ้นไป คือ ลำต้นเริ่มมีสีน้ำตาลบ้างแล้ว ก็ใช้เป็นต้นตอสำหรับติดตาได้
พันธุ์ยางที่ควรใช้ปลูก
ควรใช้พันธุ์ยางที่ปรากฏผลดีมาแล้ว คำว่า "ผลดี" ในที่นี้ไม่ใช่หมายถึง ผลดีแต่เฉพาะน้ำยางอย่างเดียว ต้นยางที่ให้ผลดีหรือ ที่เรียกว่าพันธุ์ดีนั้น อย่างน้อยจะต้องประกอบด้วย คุณสมบัติต่อไปนี้ด้วย
(๑) ให้น้ำยางสูงกว่าต้นยางธรรมดา
(๒) เปลือกหนา
(๓) เปลือกที่ถูกกรีดแล้วงอกใหม่เร็ว
(๔) ความเจริญของลำต้นสม่ำเสมอดี ไม่ใช่พอกรีดแล้วต้นหยุดเจริญ หรือเจริญช้ามาก หรือลำต้นเปลี่ยนรูปไป
(๕) เปอร์เซ็นต์เป็นโรคเปลือกแห้งมีน้อย หรือไม่มีเลย ยางพันธุ์ดีหลายพันธุ์ที่ให้น้ำยางมาก แต่กรีดน้ำยางให้ออกมากไม่ได้ มักจะกลายเป็นโรคเปลือกแห้งและกรีดน้ำยางไม่ออกอีกต่อไป
(๖) ต้นแข็งแรง พุ่มใบไม่ใหญ่เกินไป ทนต่อความแรงของลมหรือพายุได้ดี
การที่จะให้รู้ว่า พันธุ์ยางชนิดใดจะมีลักษณะดีตามคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้นจริงหรือไม่ ต้องใช้เวลานานมาก จะต้องกรีดทดลองเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๑๐-๑๕ ปีขึ้นไปนับตั้งแต่ปีที่เริ่มกรีดได้ เจ้าของสวนยางจึงไม่ควรจะเสี่ยงต่อการใช้พันธุ์ยางที่ไม่รู้คุณสมบัติอันแท้จริง และไม่ควรตื่นไปตามคำโฆษณาชวนเชื่อ ข้อที่สำคัญที่สุด อย่าคิดแต่เรื่องน้ำยางมากอย่างเดียว ให้คิดถึงคุณสมบัติอื่น ๆ ประกอบ
ในระยะนี้ มีพันธุ์ยางของต่างประเทศหลายพันธุ์ที่อยู่ในระหว่างการทดลอง หลายพันธุ์กำลังให้ผลเป็นที่น่าพอใจและก็มีหลายพันธุ์เหมือนกันไม่ให้ผลดี ได้คัดทิ้งไปแล้วเป็นจำนวนมาก และเชื่อว่า ยังจะต้องคัดทิ้งต่อ ๆ ไปอีก ยังไม่แน่นอนว่า พันธุ์ใหม่ ๆ ที่กำลังทดลองอยู่ มีพันธุ์อะไรบ้างที่เด่นในเรื่องนี้ ควรหารือกรมวิชาการเกษตร
(๑) ให้น้ำยางสูงกว่าต้นยางธรรมดา
(๒) เปลือกหนา
(๓) เปลือกที่ถูกกรีดแล้วงอกใหม่เร็ว
(๔) ความเจริญของลำต้นสม่ำเสมอดี ไม่ใช่พอกรีดแล้วต้นหยุดเจริญ หรือเจริญช้ามาก หรือลำต้นเปลี่ยนรูปไป
(๕) เปอร์เซ็นต์เป็นโรคเปลือกแห้งมีน้อย หรือไม่มีเลย ยางพันธุ์ดีหลายพันธุ์ที่ให้น้ำยางมาก แต่กรีดน้ำยางให้ออกมากไม่ได้ มักจะกลายเป็นโรคเปลือกแห้งและกรีดน้ำยางไม่ออกอีกต่อไป
(๖) ต้นแข็งแรง พุ่มใบไม่ใหญ่เกินไป ทนต่อความแรงของลมหรือพายุได้ดี
การที่จะให้รู้ว่า พันธุ์ยางชนิดใดจะมีลักษณะดีตามคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้นจริงหรือไม่ ต้องใช้เวลานานมาก จะต้องกรีดทดลองเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๑๐-๑๕ ปีขึ้นไปนับตั้งแต่ปีที่เริ่มกรีดได้ เจ้าของสวนยางจึงไม่ควรจะเสี่ยงต่อการใช้พันธุ์ยางที่ไม่รู้คุณสมบัติอันแท้จริง และไม่ควรตื่นไปตามคำโฆษณาชวนเชื่อ ข้อที่สำคัญที่สุด อย่าคิดแต่เรื่องน้ำยางมากอย่างเดียว ให้คิดถึงคุณสมบัติอื่น ๆ ประกอบ
ในระยะนี้ มีพันธุ์ยางของต่างประเทศหลายพันธุ์ที่อยู่ในระหว่างการทดลอง หลายพันธุ์กำลังให้ผลเป็นที่น่าพอใจและก็มีหลายพันธุ์เหมือนกันไม่ให้ผลดี ได้คัดทิ้งไปแล้วเป็นจำนวนมาก และเชื่อว่า ยังจะต้องคัดทิ้งต่อ ๆ ไปอีก ยังไม่แน่นอนว่า พันธุ์ใหม่ ๆ ที่กำลังทดลองอยู่ มีพันธุ์อะไรบ้างที่เด่นในเรื่องนี้ ควรหารือกรมวิชาการเกษตร
พันธุ์ยางที่มีลักษณะและคุณสมบัติดี ที่ใช้ปลูกในปัจจุบันนี้ มีอยู่หลายพันธุ์ เช่น
(๑) ถ้าใช้ในการติดตา ควรใช้พันธุ์พีอาร์ ๑๐๗ (PR 107) และ อาร์อาร์ไอเอ็ม ๖๐๐ (RRIM 600) สองพันธุ์นี้ ควรปลูกในที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ดีจริง ๆ และในที่ที่ปลอดโรคใบร่วงชนิดไฟทอพทอรา กับพันธุ์พีบี ๕/๕๑ (PB 5/51) จีที๑ (GT1) และพีอาร์ ๒๕๕, พีอาร์ ๒๖๑ (PR 255, PR 261)
(๒) ถ้าใช้เมล็ดหรือต้นกล้าพันธุ์ดี ในปัจจุบันนี้ ไม่นิยมใช้เมล็ดปลูกกันแล้ว เพราะหากล้าพันธุ์ดีได้ยาก และมักจะไม่ใช่พันธุ์แท้ สวนยางขนาดใหญ่ ๆ ในมาเลเซียมีจำหน่ายอยู่บ้าง
พันธุ์ยางดีชั้นรอง ๆ ลงไปยังมีอีกหลายพันธุ์ มีทั้งพันธุ์ที่ผสมในประเทศไทยและในต่างประเทศ๑ ยังไม่ควรใช้ปลูกให้มากนัก
จนกว่าจะทราบผลแน่นอน ของทางราชการ หรือของเอกชนที่ทดลองอยู่แล้ว เช่น พันธุ์เคอาร์เอส ๒๓ พีบี ๒๘/๕๙ อาร์อาร์ไอเอ็ม ๗๐๓ (KRS 23, PB 28/59, RRIM 703) พันธุ์ยางทีเจไออาร์ ๑ (TJIR 1) แม้ว่าจะเป็นพันธุ์เก่าซึ่งทางราชการไม่แนะนำให้ปลูก แต่ผลที่ประจักษ์อยู่ปรากฏว่า ในที่บางแห่งปลูกได้ผลดีมาก ฉะนั้น ผู้ปลูกจะต้องสังเกตดูว่า ถ้าที่ใดปลูกพันธุ์อะไรได้ผลดีก็ควรปลูกพันธุ์นั้นต่อไปได้